ทำไมกินโพรไบโอติกมานานแล้วไม่เห็นผล? เป็นคำถามที่คาใจของใครหลายคน เพราะแม้จะทานอาหารเสริมชนิดนี้เป็นประจำ แต่ปัญหาท้องอืด ท้องผูก หรืออาการไม่สบายทางเดินอาหารอื่น ๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กินอาหารเสริมโปรไบโอติกแล้วไม่เห็นผล มีหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็น
- เลือกผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม
สิ่งสำคัญในการรับประทานอาหารเสริมโปรไบโอติก คือ ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจากอย. เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโพรไบโอติกที่เรารับประทานเข้าไปจะมีประสิทธิภาพมากพอในการดูแลแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ร่างกายของเราได้จริง และต้องเลือกชนิดสายพันธุ์โปรไบโอติกที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
- ปริมาณไม่เพียงพอ
นอกจากเรื่องของมาตรฐานและชนิดของอาหารเสริมโปรไบโอติกแล้ว ปริมาณของโพรไบโอติกที่ได้รับต่อวันก็มีความสำคัญมาก ๆ เพราะว่าตามมาตรฐานแล้วคนเราจำเป็นจะต้องได้รับโพรไบโอติกอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 20,000 ล้าน CFU ต่อวัน ซึ่งถ้าโพรไบโอติกที่คุณรับประทานอยู่มีปริมาณน้อยกว่าที่แนะนำ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กินมานานแล้วแต่ไม่เห็นผลก็เป็นได้
- กินไม่ต่อเนื่อง
การรับประทานโพรไบโอติกหรืออาหารเสริมใด ๆ ก็ตาม เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน จำเป็นต้องกินอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และกินตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- มีปัจจัยอื่นรบกวน
ทั้งนี้การกินอาหารเสริมโปรไบโอติกแล้วไม่เห็นผล ก็อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ ที่เหนือจากการควบคุม อย่างเช่น ความเครียด ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง โรคประจำตัว หรือการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้คุณทานอาหารเสริมโปรไบโอติกแล้วไม่เห็นผลที่ชัดเจนนั่นเอง
5 วิธีกินโพรไบโอติกที่ถูกต้อง ให้เห็นผล
ถ้าอยากรับประทานอาหารเสริมโปรไบโอติกให้เห็นผลก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ทำตาม 5 วิธีดังต่อไปนี้ ก็จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์จากโพรไบโอติกอย่างเต็มที่ ในปริมาณที่เหมาะสมเพียงพอกับความต้องการแล้ว
1. เลือกสายพันธุ์ Probiotic ที่ใช้และเหมาะกับปัญหาสุขภาพของตัวเอง
การเลือกสายพันธุ์โปรไบโอติกที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคลนั้นสำคัญมาก เพราะโปรไบโอติกแต่ละสายพันธุ์มีหน้าที่และประโยชน์แตกต่างกันไป บางสายพันธุ์อาจช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร บางสายพันธุ์อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งการเลือกสายพันธุ์ที่ตรงกับปัญหาสุขภาพมากที่สุด จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ปริมาณของโปรไบโอติก และคุณภาพของสายพันธุ์ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน
ซึ่งผลิตภัณฑ์ Probio-10 Fiber plus ของ Zenvida ตอบโจทย์ข้อนี้เป็นอย่างดี เพราะเราเลือกใช้โพรไบโอติกสายพันธ์ุสิทธิบัตรจากแลปวิจัย LactoMason ประเทศเกาหลี และแลปสหรัฐอเมริกา ด้วยปริมาณมากถึง 20,000 ล้าน CFU และเป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทาน สามารถทนกรดและน้ำดีในทางเดินอาหารได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ถึง 3 เท่า จึงมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าโพรไบโอติกทั่วไป ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนและรวดเร็ว
2.เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีทั้ง Prebiotic และ Probiotic รวมทั้งมี fiber ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
นอกจากการเลือกทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีโปรไบโอติกมากเพียงพอแล้ว การมีตัวช่วยอย่างพรีไบโอติกและไฟเบอร์เข้ามาด้วยก็จะยิ่งผสานพลังจากธรรมชาติ ช่วยปรับสมดุลลำไส้ได้ดียิ่งขึ้นกว่าการทานโปรไบโอติกอย่างเดียว เนื่องจากไฟเบอร์มีส่วนช่วยบรรเทาอาการท้องผูก ส่วนพรีไบโอติกก็จะไปช่วยเสริมสารอาหารให้โปรไบโอติกเจริญเติบโต และทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งในผลิตภัณฑ์ Probio-10 Fiber plus นี้ได้รวบรวมทั้งโปรไบโอติก พรีไบโอติก ไฟเบอร์ จากผัก ผลไม้ และสมุนไพร 29 ชนิดเอาไว้ในที่เดียว จึงมอบผลลัพธ์ในการปรับสมดุลลำไส้ที่ดียิ่งขึ้น ช่วยจบปัญหาทานโพรไบโอติกมานานแต่ไม่เห็นผลได้จริงอย่างยั่งยืน หากทำร่วมกับการปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
3. กินโพรไบโอติกในช่วงเวลาที่เหมาะสม และต่อเนื่อง
ควรกินโปรไบโอติกตอนไหนดี? การเลือกช่วงเวลาในการกินโพรไบโอติกก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของโปรไบโอติก เพราะช่วงเวลาที่เราทานเข้าไป จะส่งผลต่อการดูดซึมและการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดดีเหล่านี้ โดยควรเลือกทานในช่วงที่กระเพาะอาหารมีความเป็นกรดน้อย โปรไบโอติกถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตและเดินทางไปถึงลำไส้ได้มากขึ้น โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกินโพรไบโอติก ได้แก่
- ก่อนอาหาร เป็นช่วงเวลาที่กระเพาะอาหารยังว่าง ทำให้โพรไบโอติกมีโอกาสเดินทางไปถึงลำไส้ได้เร็วขึ้น
- ระหว่างมื้ออาหาร การทานพร้อมกับอาหารจะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้โปรไบโอติกรอดชีวิตได้มากขึ้น
- ก่อนนอน บางคนอาจเลือกทานก่อนนอน เนื่องจากในช่วงเวลานี้ร่างกายจะได้มีเวลาในการซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง
สิ่งที่ควรระวัง
- หลีกเลี่ยงการทานพร้อมยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะจะทำลายทั้งแบคทีเรียดีและแบคทีเรียไม่ดี ดังนั้นควรเว้นระยะห่างในการทานยาปฏิชีวนะและโปรไบโอติก
- หลีกเลี่ยงการทานพร้อมเครื่องดื่มร้อน เนื่องจากความร้อนสูงอาจทำลายโปรไบโอติกได้
ที่สำคัญควรทานอาหารเสริมโปรไบโอติกติดต่อกันเป็นเวลา 1-3 เดือน เพื่อให้จุลินทรีย์สามารถปรับตัวในร่างกายและทำงานได้อย่างเต็มที่ จึงจะมอบผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. กินโพรไบโอติกร่วมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
การกินอาหารเสริมโปรไบโอติกอย่างเดียวอาจจะเห็นผลในส่วนหนึ่ง แต่ถ้าหากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น หนึ่งสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำร่วมกันด้วยก็คือ การปรับพฤติกรรมการกิน เพราะถ้าหากเรากินโพรไบโอติก แต่ยังมีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม ก็จะทำให้เห็นผลไม่ชัด หรือไม่เห็นผลได้นั่นเอง
พฤติกรรมการกินที่ควรเปลี่ยนควบคู่กับการกินโพรไบโอติก มีอะไรบ้าง
- เพิ่มการกินอาหารประเภทที่มีใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้
- ลดการรับประทานอาหารแปรรูป เช่น อาหารไมโครเวฟ ไส้กรอก เนื้อแปรรูปต่าง ๆ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยมีปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 8-10 แก้ว หรือ 1.9 ลิตร
5. ปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพโดยรวม
หลังจากเราปรับพฤติกรรมการกินได้แล้ว ขั้นต่อมาก็คือการปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้นด้วยวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้การกินอาหารเสริมโปรไบโอติกเห็นผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็คือ
- รู้จักจัดการความเครียดด้วยการหางานอดิเรกทำ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง ดูซีรีส์ ฯลฯ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ให้ขับถ่ายได้คล่องยิ่งขึ้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่
Probio-10 Fiber plus ตัวช่วยแก้ท้องผูกเรื้อรังได้อย่างเห็นผล
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังเผชิญปัญหาท้องผูกเรื้อรัง แน่นท้อง ขับถ่ายยาก ทานโปรไบโอติกตัวไหนก็ไม่ค่อยเห็นผล อยากได้อาหารเสริมโปรไบโอติกคุณภาพแน่น ๆ สักตัวที่จะช่วยปรับระบบขับถ่ายและการทำงานของลำไส้ให้ดีขึ้น Zenvida ขอแนะนำเป็นตัวเลือกดี ๆ อย่าง Probio-10 Fiber plus เลย
ด้วยความพิเศษทั้งในเรื่องของสายพันธุ์โปรไบโอติกที่แข็งแรงผสานกับไฟเบอร์แบบ full spectrum จัดเต็มด้วยคุณค่าจากวิตามินต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกแล้ว ยังช่วยดูแลสุขภาพโดยรวม พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น หากรับประทานอย่างต่อเนื่องร่วมกับการปรับพฤติกรรม รับรองเลยว่าจะช่วยแก้ปัญหาท้องผูกเรื้อรังให้คุณได้อย่างยั่งยืนแน่นอน