การเพิ่มปริมาณโพรไบโอติก หรือจุลินทรีย์ดีในร่างกาย จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาท้องผูก ป้องกันอาการถ่ายยาก อุจจาระแข็ง ท้องอืด และอาการไม่สบายทางเดินอาหารอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจทำลายสมดุลของแบคทีเรียดีเหล่านี้ได้
ดังนั้นเพื่อให้มีสุขภาพลำไส้ที่แข็งแรงยั่งยืน ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายโพรโบไอติกเหล่านี้ ซึ่งจะมีพฤติกรรมไหนบ้างนั้น ตามมาอ่านกันได้เลย!
โพรไบโอติกคืออะไร?
โพรไบโอติก (Probiotic) หมายถึง จุลินทรีย์ชนิดดีที่มีชีวิตอยู่ในร่างกายของเรา พบได้มากที่สุดที่บริเวณลำไส้ ทำหน้าที่เปรียบเสมือนทหารกล้าที่คอยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค และช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ด้วยการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ชนิดดี และลดปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ เพื่อช่วยให้ลำไส้ทำงานได้อย่างสมดุล ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันการเกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง
ความสำคัญของโพรไบโอติกในการรักษาสมดุลของลำไส้
ปัญหาลำไส้ไม่ปกติ เช่น มีอาการท้องผูก ถ่ายยาก อุจจาระแข็ง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด และท้องเฟ้อ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสมดุลของแบคทีเรียดีในลำไส้ของคุณกำลังเสียไป การมีเพิ่มปริมาณโพรไบโอติกในลำไส้จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยรักษาสมดุลของลำไส้ ทำให้แบคทีเรียดีมีจำนวนเพิ่มขึ้นและแข็งแรงขึ้นได้ ด้วย 4 เหตุผลหลักดังนี้
- โพรไบโอติกบางชนิด สามารถผลิตเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารได้ ทำให้อาหารย่อยง่ายขึ้น จึงช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- โพรไบโอติก จะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้ดีขึ้น จึงช่วยลดอาการท้องผูกได้ดี
- โพรไบโอติกช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและต้านทานโรคได้ดีขึ้น
- โพรไบโอติกจะคอยต้านทานเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อสุขร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ ระบบทางเดินอาหาร หรือแม้แต่ระบบขับถ่ายได้อีกด้วย
ผลกระทบของการขาดสมดุลโพรไบโอติก
เมื่อไหร่ที่ร่างกายมีปริมาณโพรไบโอติกไม่เพียงพอ หรือขาดสมดุลที่เหมาะสมนั้น อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น
- อาการท้องผูก ที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้ ที่อาจมีการบีบตัวช้าลง หรืออุจจาระมีลักษณะก้อนขนาดใหญ่ ทำให้ถ่ายยาก อุจจาระแข็ง หากปล่อยทิ้งไว้ก็มีโอกาสเป็นภาวะท้องผูกเรื้อรังได้ด้วย
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากอาหารไม่ย่อย มีการสะสมของก๊าซ หรือลมในทางเดินอาหารเยอะกว่าปกติ
- ท้องเสีย ที่อาจเกิดจากปริมาณเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีในลำไส้เยอะเกินไป เสี่ยงทำให้สุขภาพลำไส้อ่อนแอได้
- อ่อนเพลีย เนื่องจากร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่
5 พฤติกรรมที่ทำลายโพรไบโอติก โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว
จะเห็นได้ว่าโพรไบโอติกเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ในแต่ละวันก็มีโอกาสที่ร่างกายของเราจะสูญเสียโพรไบโอติกโดยไม่รู้ตัว จนอาจกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตได้ โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างที่ควรปรับเปลี่ยนเพื่อป้องกันระดับโพรไบโอติกขาดสมดุล ดังนี้
1.การทานยาปฏิชีวนะ
เมื่อร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแพทย์มักจะจ่ายยาปฏิชีวนะให้มารับประทานเพื่อลดจำนวนเชื้อโรคเหล่านี้ แต่รู้หรือไม่? การทานยาปฏิชีวนะนั้นไม่เพียงแต่จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวร้ายแล้ว ยังกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีอย่างโพรไบโอติกให้มีปริมาณลดน้อยลงจนกระทบต่อการทำงานของลำไส้ และระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรฟื้นฟูสมดุลแบคทีเรียชนิดดีหลังจากรับประทานยาปฏิชีวนะด้วยนั่นเอง
2.การทานอาหารแปรรูป
อาหารแปรรูปที่รับประทานในแต่ละวัน อาจไม่เพียงแต่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่ำ รวมทั้งมีปริมาณไฟเบอร์หรือกากใยอาหารที่น้อยเสี่ยงต่อการถ่ายยาก อุจจาระแข็งแล้ว ยังมีสารเคมีและสารกันบูดในอาหารแปรรูปเหล่านี้ ที่จะไปลดปริมาณโพรไบโอติกในลำไส้ได้อีกด้วย ทางที่ดีจึงควรลด ละ เลิกการทานอาหารแปรรูป และหันมาเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ และโปรตีนในมื้ออาหารแทนจะดีกับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ของคุณมากกว่า
3.ความเครียด
เมื่อเรารู้สึกเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบย่อยอาหารด้วย เพราะความเครียดจะทำให้สมดุลของแบคทีเรียดีในลำไส้เสียไป ส่งผลให้ปริมาณของโพรไบโอติกลดลง ซึ่งโพรไบโอติกเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยอาหารและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
เมื่อโพรไบโอติกมีจำนวนลดลง จึงเป็นผลให้การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ท้องผูก หรือท้องเสียจากระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติได้นั่นเอง
4.การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะสารเคมีที่พบในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่นั้น เป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยื่อบุลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญในการดูดซึมสารอาหาร
นอกจากนี้สารเคมีเหล่านี้ยังทำลายจุลินทรีย์ดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างโพรไบโอติก ทำให้สมดุลของแบคทีเรียในลำไส้เสียไป ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย หรือท้องเสียได้
5.การพักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูร่างกาย เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การนอนหลับยังส่งผลดีต่อสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยช่วยเพิ่มปริมาณของโพรไบโอติก ซึ่งมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย
สรุป
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 พฤติกรรมร้ายที่ทำให้ร่างกายถ่ายยาก อุจจาระแข็งและเสี่ยงทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรังในอนาคต เนื่องจากโพรไบโอติกมีปริมาณลดลง ซึ่งการเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้นจะช่วยเรียกคืนสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าเดิม ปรับระดับปริมาณโพรไบโอติกในลำไส้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงในการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ในที่สุด
Zenvida ขอแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณบอกลาปัญหาท้องผูกถ่ายยาก ที่รบกวนชีวิตประจำวันของคุณด้วยอาหารบำรุงลำไส้ Probio-10 Fiber Plus อาหารเสริมโพรไบโอติกที่จะช่วยปรับสมดุลลำไส้ด้วยการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ชนิดดีให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งมีโพรไบโอติกนวัตกรรมเกาหลี & อเมริกามากถึง 20,000 ล้าน CFU เพียงพอต่อการบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง ท้องอืด และท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี
รวมถึงยังมีส่วนผสมของไฟเบอร์เกรดที่ใช้ทางการแพทย์ ซึ่งดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยเพิ่มปริมาณกากใย ให้อุจจาระนิ่มขึ้น แถมยังเป็นอาหารที่ดีให้โพรไบโอติกอีกด้วย ที่สำคัญอุดมด้วยสารสกัดธรรมชาติที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกายมากถึง 29 ชนิด อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์บำรุงร่างกายและลำไส้อย่างครบครัน จบปัญหาท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ในซองเดียว ทั้งนี้ควรเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพตามที่ Zenvida ได้แนะนำไปในเบื้องต้นร่วมด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นและยั่งยืนนั่นเอง